คมธรรม

พระพุทธธรรมกายเทพมงคล

ประวัติโดยสังเขป
#พระพุทธธรรมกายเทพมงคล
พระพุทธธรรมกายเทพมงคล เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สร้างขึ้นเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ เกตุดอกบัวตูม ขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง ๔๐ เมตร สูง ๖๙ เมตรเทียบเท่าตึก ๒๐ ชั้น เริ่มก่อสร้างเมื่อปี ๒๕๖๐ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อจรรโลง เทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บูชาพระคุณ “หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ” หรือ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เพื่อเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ และเพื่อเชิดชูประติมากรรมการสร้างพระพุทธรูปอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนมิ.ย. ๒๕๖๔ โดยงบประมาณในการดำเนินการทั้งหมดมาจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

โดยรูปแบบของพระพุทธธรรมกายเทพมงคลนั้น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์จัดสร้างขึ้นตามนิมิตของหลวงพ่อสด อดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ ซึ่งหลวงพ่อสดนิมิตเห็นลักษณะของพระพุทธรูปนี้ในขณะที่กำลังเจริญสมาธิ กรรมฐาน โดยการจัดสร้างพระพุทธรูปดังกล่าว สร้างด้วยเนื้อทองแดงบริสุทธิ์ ๙๙.๙๙% ภายในพระเกตุพระพุทธธรรมกายเทพมงคล บรรจุ #ดอกบัวสัตตบงกช หล่อขึ้นด้วยทองคำน้ำหนักประมาณ ๖ กิโลกรัม ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ขณะที่ #หัวใจพระพุทธธรรมกายเทพมงคล หล่อขึ้นด้วยทองคำน้ำหนักประมาณ ๖ กิโลกรัมเช่นกัน นำไปบรรจุบริเวณหน้าอกด้านซ้ายของพระพุทธธรรมกายเทพมงคล

พระพุทธธรรมกายเทพมงคล เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างด้วยทองแดง หน้า ๓ มิลลิเมตร โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ (๑) ฐานองค์พระ กว้าง ๓๒ เมตร ยาว ๔๐ เมตร สูง ๖ เมตร (๒) ฐานบัว สูง ๖ เมตร แบ่งเป็นบัวคว่ำ ขนาด ๒.๕๐ เมตร และบัวหงาย ๓.๕๐ เมตร (๓) องค์พระ หน้าตัก กว้าง ๔๐ เมตร สูง ๕๗ เมตร

โครงสร้างภายใน หนัก ๕๘๘.๒ ตัน พื้นผิวองค์พระ หนัก ๑๕๓ ตัน รวมน้ำหนักองค์พระทั้งสิ้น ๗๔๑.๒ ตัน

เริ่มสร้างตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๐ สร้างเสร็จ เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๔ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น จำนวน ๖๐๘,๕๓๑,๓๐๐.๖๖ บาท โดยมี สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ.๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพมหานคร เป็นประธานจัดสร้าง พระพุทธธรรมกายเทพมงคล

ประดิษฐาน ณ วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองแดงบริสุทธิ์ ปางสมาธิ เกตุดอกบัวตูม หน้าตักกว้าง ๔๐ เมตร สูง ๖๙ เมตร

๔ มี.ค. ๒๕๖๐ ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ตอกเสาเข็ม
๑๙ ส.ค.๒๕๖๐ ประกอบพิธีวางแผ่นศิลาฤกษ์
๒๘ ก.พ.๒๕๖๑ ประกอบพิธียกเสาเอก
๒๖ ส.ค.๒๕๖๑ ประกอบพิธีเททองคำหล่อหัวใจพระ
๒๙ ธ.ค.๒๕๖๒ ประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ดอกบัวสัตตบงกชทองคำและหัวใจทองคำ
๑๙ มิ.ย. ๒๕๖๔ เจ้าหน้าที่เก็บเครนบริเวณหน้าองค์พระ ถือว่าองค์พระเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ ส่วนการสมโภชยังไม่มีกำหนดเนื่องด้วยสถานกรณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา โควิด-๑๙

ปี พ.ศ.๒๕๖๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีสมโภช “พระพุทธธรรมกายเทพมงคล” วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ โดยกำหนดจัดงานสมโภช พระพุทธธรรมกายเทพมงคล ระหว่างวันที่ ๕-๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

#ขอบคุณ ข้อมูลและเจ้าของภาพที่บันทึกภาพพระพุทธธรรมกายทุกๆท่าน
ชมอัลบั้มภาพ

ธรรมกายเป็นนิจจัง สุขัง อัตตา

"...สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัว หลีกจากสังขารทั้งหลายที่ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายที่เป็นทุกข์ หลีกจากสังขารเหล่านั้นไปเสีย ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัว หลีกจากธรรมที่ไม่ใช่ตัวไปเสีย เข้าถึงตัวให้ได้ เข้าถึงธรรมกายให้ได้ ธรรมกายเป็นตัว ธรรมกาย เที่ยง อื่นจากธรรมกายนั้น เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่กายในภพ

ส่วนธรรมกายนั้นเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา นี่เป็นทางไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งนั้น แต่ว่าจะไปทางธรรมกาย ต้องใจหยุด หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดง ของไก่ หยุดอยู่นั้นแหละ หยุดหนักเข้า เข้ากลางของหยุดนั่นไป

ก็จะเข้าถึงกายมนุษย์ ละเอียด หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด เห็นกายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด, กายรูปพรหม-กายรูปพรหมละเอียด, กายอรูปพรหม-กายอรูปพรหมละเอียด, กายธรรม-กายธรรมละเอียด ไปทีเดียว นี่ไปทางนี้ ไปทางอื่นไม่ได้ ผิดทั้งนั้น ให้รู้จักหลักอันนี้ ตั้งใจให้มั่น มาประสบพบพุทธศาสนา เราจะต้องดำเนินให้ถูกร่องรอยของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ให้ได้ จะได้ไปนิพพานในอัตภาพที่เป็นมนุษย์นี้ จะประสบความสุขสมมาดปรารถนา..."

✍️ คัดลอกบางส่วนจาก ✍️
พระธรรมเทศนา เรื่อง ติลักขณาทิคาถา
เทศน์เมื่อ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๗
โดยพระเดชพระคุณ #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
#หลวงพ่อวัดปากน้ำ

ไม่กลัวคนจริง แต่กลัวคนไม่จริง

คนจริงคือคนที่ทำอะไรทำจริง บากบั่น มั่นคง
คนไม่จริง คือ คนที่ไม่ทำอะไรจริง ท้อแท้ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
หลวงพ่อเป็นคนจริง ทำจริง บากบั่น มั่นคง
เมื่อตัดสินใจว่าดีแล้วจึงทำ ทำด้วยความตั้งใจ ไม่ยอมแพ้แก่อุปสรรค ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
คนจริงอยู่ที่ใด ขอให้หลั่งไหลมาเถิด ขอให้เราได้สมาคม ขอให้เราได้ใกล้ชิดกัน นี่คือความหมายของคนจริงไม่กลัว
คนไม่จริงอยู่ที่ใด เราต้องลงทุนให้เขามากมาย หากจะให้การศึกษา ก็ต้องจ้างครูมาก ต้องควบคุมมาก ต้องสอนมาก ต้องปกครองมาก ลงทุนให้ถึงขนาดนี้ ยังเอาดีไม่ได้ เผลอไปนิดเดียวทำความเดือดร้อนให้ คนประเภทนี้น่ากลัวมาก เราไม่มีเวลาให้บริการแก่คนประเภทนี้มากนัก แต่เราก็ต้องพบประเภทนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หลวงพ่อพลาดไปแล้ว อย่างไรจึงว่าพลาด
เพราะได้ลั่นวาจาไปแล้ว "ภิกษุใดที่ยังไม่มา ขอให้มา เมื่อมาแล้วขอให้อยู่เป็นสุข" บริษัทที่เดินทางมาสู่นั้น มีทั้งคนจริงและคนไม่จริง เพราะไม่ได้มีแต่ภิกษุอย่างเดียว มีทั้งอุบาสกคือศิษย์วัดและอุบาสิกาด้วย หลวงพ่อต้องรับทั้งหมด หลวงพ่อไม่ได้บอกว่าให้มาเฉพาะคนจริง

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

เพื่อนคู่คิดชีวิตใช้ซะ (E-Book)

หนังสือดีดีสักเล่ม อาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล..
"เพื่อนคู่คิดชีวิตใช้ซะ" โดย พระมหาคมเพชร มหาเปรียญ อดีตประธานสงฆ์แห่งธุดงคสถานนครธรรม ผู้บุกเบิกสร้างธุดงคสถานนครธรรมให้เจริญ เป็นที่พำนักอาศัยของพระภิกษุผู้จรมาจากทิศทั้ง 4 ได้อยู่จำพรรษา และปฏิบัติธรรม.. ท่านได้นำเอาประสบการณ์การมองโลกและธรรม ผ่านมุมมองและแง่คิดที่ดี กลั่นกรอง ตกผลึกทางความคิด แล้วเรียงถ้อยร้อยความออกมาเป็นภาษาที่อ่านง่าย อ่านสนุกเพลิดเพลิน แฝงคติธรรมคำสอน สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
สามารถคลิ้กอ่านได้ฟรี ในรูปแบบ E-Book ที่นี่


สนับสนุนปัจจัยเพื่อเผยแผ่ธรรมะของพระอาจารย์ได้ที่
ชื่อบัญชี : พระคมเพชร ภู่มาลี
Facebook : ธมฺมวชิโร ภิกฺขุ
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยเทอญ

การปฏิบัติธรรม

#การปฏิบัติธรรม
จะว่ายาก ก็ยาก
จะว่าง่าย ก็ง่าย
ถ้าเรามองเป็นเรื่องยาก
มันก็ยาก ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติ
จนสุดท้าย ก็เลยไม่ได้ปฏิบัติสักที
แต่ถ้ามองว่าเป็นเรื่องง่าย
มันก็ง่าย ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติ
สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา
เพราะการปฏิบัติธรรม
ไม่ได้แปลว่า การนั่งสมาธิ
ที่ต้องนั่งอย่างเดียว
การปฏิบัติธรรม สามารถทำได้
ในทุกอิริยาบถ ตั้งแต่การยืน
การเดิน การนั่ง และการนอน
ขับรถไป ก็ปฏิบัติธรรม ไปด้วยได้
ทำงานไป ก็ปฏิบัติธรรม ไปด้วยได้
ทำกับข้าวไป ก็ปฏิบัติธรรม ไปด้วยได้
เริ่มจากการฝึกมีสติ กับสิ่งที่ทำ
ฝึกอยู่กับปัจจุบัน มีความรู้ตัว
รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ให้ได้ทั้งวัน
ไม่ปล่อยใจ ไปตามกระแสกิเลส
ไม่ปล่อยใจ ไปตามอารมณ์ความรู้สึก
ไม่ปล่อยใจ ไปตามเรื่องราวการปรุงแต่งของจิต
ยังไม่ต้องไปกล่าวถึง ผลลัพธ์
ว่าเราจะต้องหมดกิเลส
เราจะต้องเข้าถึงธรรม
เราจะต้องบรรลุธรรม
ถึงขั้นนั้นขั้นนี้
จริงอยู่ ที่เราต่างก็ปรารถนา
ที่จะบรรลุธรรม เขาถึงธรรม
ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
แต่การคาดหวังกับผลลัพธ์
คาดว่าปฏิบัติแล้ว ต้องได้ขั้นนั้นขั้นนี้
ต้องได้ผลลัพธ์ อย่างนั้น อย่างนี้
สิ่งนั้นกลับเป็นตัวขัดขวาง การปฏิบัติธรรม
เพราะเราไม่ได้โฟกัส อยู่กับ วิธีปฏิบัติ
แต่กลับมุ่งไปที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
การปฏิบัติธรรม มันจึงยาก
เพราะเราอยาก ได้ผลลัพธ์ มากเกินไป
ถ้าเรามุ่งความสนใจ ไปที่วิธีปฏิบัติ
ค่อยๆฝึกฝนไปตามขั้นตอน
ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ด้วยความเพียร
ไม่มีทางเลย ที่เราจะไม่ได้ผลลัพธ์
ต่อให้เราไม่ต้องการ มันก็ตาม
เหมือนเราตั้งใจปลูกต้นมะม่วงพันธุ์ดี
ดูแล เอาใจใส่ อย่างดี ไม่ขาดตกบกพร่อง
เมื่อถึงเวลาออกผล มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ที่เราจะไม่ได้ลิ้มรสผลมะม่วงที่หวานอร่อย
รสแห่งธรรม ก็เช่นกัน

Cr.: พระมหาคมเพชร #PKP

พระผงและนิพพาน

  • ผมเป็นผู้ครอบครองพระของขวัญวัดปากน้ำรุ่นที่ 4 คนหนึ่ง.. พระผงองค์นี้ ผมได้มาจากการอธิษฐานจิต เอ่ยวาจาออกมาหลังจากที่ถือศีล 8 ตลอดต่อเนื่อง 9 เดือน และเจริญสมาธิภาวนา เฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมงมาตลอด 9 เดือนในปี พ.ศ. 2551 เรื่องมีอยู่ว่า..
  • ช่วงนั้นกำลังมีการรวบรวมทองคำเพื่อหล่อหลวงปู่ทองคำองค์ปัจจุบันที่อยู่ในวิหารหลวงปู่.. ตอนนั้นผมถือศีล 8 ตลอดต่อเนื่องมาได้ประมาณ 9 เดือน และได้ทำเพลงชวนคนมาทำบุญหล่อหลวงปู่.. ช่วงนั้นมีสื่ออานุภาพพระของขวัญวัดปากน้ำออกอากาศหลายเรื่อง.. ผมเกิดจิตเลื่อมใส ศรัทธาในพระของขวัญ ผูกสมัครรักใคร่ท่าน อยากจะมีไว้ครอบครองบ้างสักองค์.. แต่ก็เสียดายที่ไม่ได้เกิดในยุคของหลวงปู่ ทำให้ไม่มีพระของขวัญเหมือนท่านอื่นๆ.. แล้วความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในใจ.. คือ..
  • เคยได้ยินว่า.. พระผงหลวงปู่ เป็นพระเป็น มาได้ ไปได้.. หากท่านพึงพอใจจะอยู่กับใคร ท่านก็จะอยู่.. หากผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ศรัทธา ทิ้งๆขว้างๆหรือไม่ดูแลเอาใจใส่ ท่านก็ไม่อยู่ด้วย นึกได้ดั่งนี้.. จึงพนมมือพูดออกมากับรูปหลวงปู่ที่อยู่ในห้องนอนตอนนั้น ว่า.. "หลวงปู่ขอรับ.. กระผมตั้งใจทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนามาตลอด (9 เดือน) ได้ยินมาว่าพระผงหลวงปู่เป็นพระเป็น.. ไปไหนมาไหนได้.. หากมีผู้ครอบครองพระของขวัญหลวงปู่วัดปากน้ำ ที่ไม่สมควรเป็นผู้ครอบครองอยู่ในโลกนี้.. และหากข้าพเจ้าเป็นผู้ที่คู่ควรกว่า.. ที่จะครอบครองพระของขวัญหลวงปู่วัดปากน้ำแล้วล่ะก็ ขอพระของขวัญหลวงปู่วัดปากน้ำ จงหลุดจากมือของผู้ที่ไม่สมควรครอบครอง แล้วมาสู่มือของข้าพเจ้าด้วยเทอญ.."
  • ตอนนั้นอธิษฐานด้วยใจที่อยากทดลองอานุภาพ และด้วยความอยากรู้ว่า ผมทำดีแค่นี้ ผมดีพอหรือยังที่จะได้ครอบครองพระผงหลวงปู่.. อธิษฐานด้วยใจใสใส เสร็จแล้วก็อมยิ้ม.. คิดในใจว่า.. อย่างเราเนี่ยนะ ทำความดีแค่นิดเดียว ท่านจะมาหาเราเหรอ.. หลังจากนั้นก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้.. ลืมไปเลย..
  • วันรุ่งขึ้น.. ขับรถไปรับแม่มาที่บ้าน.. แม่พูดว่า เออ แม่ได้พระมาจากพี่ชายองค์นึงนะ แม่จะให้เอ็ง ผมก็เฉยๆ ตอบแม่ว่า พี่ชายให้แม่.. แม่ก็เก็บไว้น่ะดีแล้ว.. (แต่ไหนแต่ไร ไม่เคยคิดสะสมพระเลย เพราะอะไรต้องอ่านต่อ..) ผมไม่ค่อยชอบใส่พระหรอก.. ผมมีพระในตัวแล้ว ไม่ต้องพกหรอก (เชื่อไหมว่าคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆก่อนเข้าวัดพระธรรมกาย ในปี พ.ศ.2530 อีก.. ไม่น่าเชื่อ) แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป..
  • แม่ก็พูดว่า.. เอ็งไม่เอาเหรอ.. พระผงหลวงปู่วัดปากน้ำนะ.. ผมหันหน้ามามองแม่ ด้วยความตกใจ.. แล้วก็บอกแม่ ประมาณว่า.. "ผมนึกขึ้นได้แล้ว.. เมื่อวานนี้ผมอธิษฐานไว้.. ปกติผมจะไม่เอาพระจากแม่ หรือจากใครทั้งนั้น เพราะผมไม่อยากแย่งแม่.. หรือแย่งใครทั้งนั้น.. เพราะผมเชื่อว่าในตัวผมมีพระแล้ว.. แต่คราวนี้ผมคงต้องรับไว้.. เพราะผมคิดว่าหลวงปู่ท่านให้ผม.. เหมือนเป็นรางวัลแห่งการทำความดีของผม.."
  • ขนลุกไหมครับ.. นี่แหละ อานุภาพพระผงหลวงปู่วัดปากน้ำรุ่น 4 ที่ผมครอบครอง.. ซึ่งผมเองถือว่า.. ใครที่มีพระผงรุ่นนี้.. เท่ากับมีพระผงหลวงปู่รุ่น 1 2 3 ไว้ในครอบครองทั้ง 3 รุ่นเลย.. เพราะรุ่น 4 เกิดจากการนำพระผงรุ่น 1 2 3 มา "บดรวมกัน" แล้วทำพิธีเหมือนสมัยหลวงปู่ทั้งหมด.. ซึ่งหลังจากนั้นราว 14 ปี.. ผมได้พบอาเจ็กผู้ทรงอภิญญาที่วัดปากน้ำ และเอ่ยถามท่าน.. เพราะในใจยังสงสัยว่า ช่วงที่มีการสร้างพระผงวัดปากน้ำรุ่น 4 นี้ หลวงปู่ท่านมรณภาพไปแล้ว แม้รุ่น 4 จะเกิดจากมวลสารของพระผงรุ่น 1 2 3 และพระธาตุของหลวงปู่มารวมกัน แต่ท่านไม่ได้อยู่ทำพิธีกรรมเอง.. แล้วอานุภาพจะด้อยกว่ารุ่น 1 2 3 ไหม?.. อาเจ็กท่านตอบว่า.. "หลวงปู่มรณภาพไปแล้ว แต่ท่านมาอยู่ทำพิธีกรรมด้วย" !!!.. "แม้แต่นอนนี้ท่านก็ยังอยู่วัดปากน้ำ.. ท่านแบ่งภาคมาคุ้มครองลูกศิษย์" เท่านั้นแหละครับ.. ผมจึงไม่สงสัยในอานุภาพพระผงวัดปากน้ำรุ่น 4 อีกต่อไป.. (ส่วนคุณยาย แม้แต่ตอนนี้ ท่านก็ยังอยู่วัดพระธรรมกาย ดูแลหลวงพ่อและพระในวัดอยู่)
  • สำหรับเรื่องที่ว่า.. ทำไมพี่ชายจึงเอาพระมาให้แม่.. ก็มีอยู่ว่า..
    พี่ชายผมคนนี้เป็นคนชอบสะสมพระเครื่องไว้เชิงพาณิชย์ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจในคุณค่าที่แท้จริงขององค์พระที่ครอบครอง เมื่อวานนี้(ตอนนั้น)เข้าใจว่าเป็นวันที่ผมอธิษฐานนั่นแหละ.. ว่า.. "ให้หลุดจากมือของผู้ที่ไม่สมควรครอบครอง.." บังเอิญวันนั้นพี่ชายเอาพระผงองค์นี้ ไปให้ร้านพระเครื่องของเพื่อนเลี่ยมกรอบพลาสติก.. พอเลี่ยมเสร็จส่งพระผงให้พี่ชาย.. พระผงหลุดจากมือตกลงสู่พื้น.. (เหมือนที่ผมอธิษฐานเป๊ะ) และเมื่อหยิบขึ้นมา พระผงก็มีรอยร้าวที่มุมด้านหลังข้างหนึ่ง.. ทำให้พี่ชายโกรธมาก.. หลังจากรับพระที่เลี่ยมเสร็จแล้วกลับมาบ้าน.. พี่ชายก็เอาพระผงองค์นั้นมาให้แม่ แล้วบอกว่า ถ้าเอาไปให้คนเช่า ก็ไม่ได้ราคาแล้ว.. เพราะท่านมีรอยร้าว (ตามภาพ มีรอยร้าวที่มุมขวาด้านหลังองค์พระ)..
  • แม่ผม.. รับพระผงหลวงปู่มาจากมือพี่ชายอย่าง งง งง.. แล้วแม่ก็คิดอย่างไรไม่รู้.. เอามาให้ผมเฉยเลย.. ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งก็คือเหตุการณ์ที่ผมเล่าข้างบนนี้นั่นเอง..
    ปลื้มมากๆครับ.. ที่ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ครอบครองพระผงวัดปากน้ำรุ่น 4 องค์นี้.. ปัจจุบันผ่านมา 14 ปี.. ผมไม่เคยถอดพระผงองค์นี้ออกจากคออีกเลย.. ยกเว้น พ.ศ. 2554 ที่ผมบวชพระที่วัดถ้ำแห่งหนึ่ง.. ซึ่งการบวชครั้งนั้นผมพบเรื่องราวร้ายแรงในชีวิต ทั้งตกเขา ทั้งถูกใส่ความ.. แต่ราว 10 ปีให้หลัง ทุกท่านก็รู้แล้วว่าผมต้องเจอกับอะไร.. หลังจากสึกออกมา ผมไม่เคยถอดพระผงออกจากคออีกเลย..
  • ซึ่งอาเจ็กท่านกล่าวว่า.. เป็นพระก็สวมพระเครื่องได้.. ไม่จำเป็นต้องถอด.. และสำคัญมาก.. ลูกศิษย์หลวงปู่ทุกคน ท่านจะให้พระผงคนละองค์ (ถ้าได้แล้วขายให้คนอื่นแสดงว่าไม่ใช่.. ถ้าได้แล้วให้คนอื่นก็ถือว่าไม่ใช่ เป็นเพียงทางผ่านชั่วคราว.. ตรงนี้ไม่ได้ถามต่อนะครับว่า แล้วหลานศิษย์ไม่ได้หรือครับ?).. นอกจากจะห้อยพระผงแล้ว ควรห้อยล็อคเก็ตรูปหลวงปู่ไว้ที่คอด้วย.. ท่านจะปกป้องเราจากสายปกครองที่จ้องเล่นงานพวกเราอยู่ตลอด.. และการนั่งสมาธิในสถานที่ที่ปลอดภัย.. คือ 1.วัดปากน้ำ 2.วัดพระธรรมกาย 3.ที่บ้านเราเอง แต่ควรนั่งต่อหน้ารูปหลวงปู่.. นอกเหนือจากนั้น อาจโดนสายปกครองเคลือบได้ทุกเมื่อ..
  • ส่วนเรื่องที่ว่า ทำไมผมกับพี่ชายที่เป็นเซียนพระ จึงไม่ถูกกัน.. ทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็ก.. ปัจจุบันเจอหน้ากัน พูดไม่ทันกี่คำก็จะทะเลาะกันอีก.. เรื่องนี้อาเจ็กท่านกล่าวว่า.. "คุณคือลูกศิษย์หลวงปู่ เป็นสายหยุดในหยุด.. พี่คุณเป็นสายสุญญตา.. น้ำกับน้ำมัน.. มันเข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว.. เพราะพวกเซียนพระ.. พวกที่ซื้อขายพระกิน.. เมื่อไรที่เข้านิพพานได้.. กายจิตแตกดับหมดไม่เหลือ.. เพราะกรรมขายพระพุทธเจ้ากิน เป็นกรรมหนัก.. ขนาดพระพุทธเจ้ามันยังขายได้.. ต่อให้เข้านิพพานได้ ก็กลายเป็นอากาศธาตุหมด.. ไม่เหลือ.. แม้แต่พระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ท่านก็เป็นสายสุญญตา.. ก่อนที่ท่านจะมาบวช ท่านเคยเป็นเซียนพระมาก่อน.. หลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว.. กายจิตแตกดับหมด ไม่เหลือ.."
  • และมันก็คือเรื่องที่ถกเถียงกันมาช้านานระหว่างชาวพุทธ.. ว่า นิพพานเป็นสุญญตา หรืออัตตา.. ซึ่งตอนนี้ ผมได้เข้าใจถึงเหตุที่มาแล้ว.. แต่ยังมีละเอียดกว่านั้นอีก ซึ่งผมขอคิดดูก่อนว่าจะเล่าให้ฟังดีหรือไม่..
  • สำหรับการสร้างพระโดยวัด หรือพระสงฆ์แล้วแจกสาธุชนที่มาทำบุญในพระพุทธศาสนานั้น.. ไม่ผิด..
    การที่เรามีพระหลายองค์แล้วนำไปแจกแก่หมู่ญาตินั้น.. ไม่ผิด.. ถ้าญาติให้เงินเป็นการตอบแทน.. ให้นำเงินนั้นไปทำบุญในพระพุทธศาสนา ก็จะไม่ผิด.. แต่ถ้านำเงินนั้นไปใช้ส่วนตัว.. เมื่อถึงคราวปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงพระนิพพาน.. ละจากโลกไปแล้ว กายจิตแตกดับหมดไม่เหลือ..
    อาเจ็กกล่าวว่า ถ้ามีพระเยอะ ไม่รู้จะเอาไปแจกใคร.. ให้เอากลับไปถวายวัดที่เราเคยทำบุญ.. ให้พระสงฆ์ท่านนำไปแจกญาติโยมที่มาทำบุญต่อไป เพื่อเอาเงินมาบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป..
    แต่ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นนำเงินนั้นไปใช้ส่วนตัว.. ก็.. สุญญตา..

เทพแห่งการขับขี่

มือใหม่มักเข้าใจว่าคนที่ขับรถเก่ง คือ คนที่ขับรถเร็ว ถึงที่หมายเร็วที่สุด.. ซึ่งนับว่ายังตื้นเขิน..
ส่วนมือเก่า ประสบการณ์จะบอกกับเขาว่า..

คนที่ขับรถเก่ง คือ คนที่ขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม.. ถึงที่หมายในเวลาที่เหมาะสม.. โดยสวัสดิภาพ ปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน.. แตะเบรคน้อยที่สุด แต่ใช้แรงเฉื่อยจากการปล่อยคันเร่งแทนการเบรค ทำให้รถสึกหรอน้อยที่สุดและสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยที่สุดในรอบของการเดินทางนั้นๆ.. เป็นผลให้ผ้าเบรคสึกน้อยมาก.. ใช้น้ำมันเต็มประสิทธิภาพ เพราะไม่มีการเหยียบคันเร่งเกินความเหมาะสมกับสภาพการจราจรจนต้องแตะเบรคบ่อยๆ.. แทบไม่มีน้ำมันที่เผาผลาญโดยสูญเปล่า.. และคนเหล่านี้ ทำประกันสูญเปล่า.. เพราะไม่เคยเคลมเลย.. ยกเว้นโชคร้ายโดนคนอื่นชนเท่านั้น..

"หนทางจะใกล้หรือไกล.. ใจเราล้วนกำหนดเอง.."
(หมายถึง มันเป็น "สัญญา" อย่างหนึ่ง ที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น)

"คนที่มีศักดิ์ศรีเยอะ เขาจะไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีบนท้องถนน.."
"ส่วนคนที่กลัวเสียศักดิ์ศรีบนท้องถนน คือคนที่ไม่ค่อยมีศักดิ์ศรี จึงกลัวที่จะเสียมันไปนั่นเอง.."

"สิ่งของอาจแตกเสียหายทำลายได้.. แต่ใจคนต้องไม่เสีย.."
"เมื่อเกิดวิกฤติ.. เราต้องได้มิตร มิใช่ศัตรู.."

"อย่างไรก็ตาม.. คนที่เก่งสุดๆกลับบ้านเก่าไปหมดแล้ว.. พวกไม่ค่อยเก่งเท่านั้น ที่ยังเหลือรอดบนท้องถนน.."

"รักษ์รถ.. ให้เหมือนกับที่รถรักษ์เรา.."

ใส่บาตรใส่ใจ

จากประสบการณ์ใส่บาตรพระตั้งแต่เด็กจนเริ่มชรา.. พบว่า.. ถ้าคุณใส่โยเกิร์ต นม น้ำผลไม้.. พระท่านมักเก็บไว้ฉันเอง.. แต่ถ้าคุณใส่ข้าว+แกงถุง+กับถุง.. คุณจะพบว่าคนอื่นก็ใส่บาตรเป็นข้าว+แกงถุง+กับถุงอีกมากมาย.. ซึ่งส่วนใหญ่ พระท่านฉันไม่หมดก็จำต้องคัดออกให้ญาติโยมสาธุชนที่มาช่วยงานที่วัดนำกลับไปกินที่บ้าน.. ถ้าคุณไม่คิดอะไรมาก จะถวายอะไรนั้นย่อมได้บุญอยู่แล้ว.. แต่ถ้าคุณคาดหวังว่าพระท่านจะได้ลิ้มรสอาหารที่คุณถวายแบบแน่นอน.. ก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้..

วิธีการที่ดีก็คือ.. คุณต้องมองภาพรวมออก.. แล้วตัดสินใจ.. ถ้าคุณต้องการถวายภัตตาหารให้ท่านลิ้มรส.. ก็ต้องเป็นอาหารเลิศรสที่ท่านไม่ค่อยมีโอกาสได้ฉันบ่อยๆ.. โดยดูช่วงอายุของพระท่านด้วย.. ส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้น.. ไปคิดดู..
แต่ถ้าคุณไม่ชอบการแข่งขัน.. นอกจากบุญที่ได้แน่นอนเมื่อใส่บาตรแล้ว ยังอยากถูกเลือกแบบง่ายๆ.. ก็ต้องยอมเป็นทีมเวิร์คที่อยู่เหนือกาลเวลา.. เป็นส่วนเติมเต็มความอิ่มอร่อยและเลิศรสที่พระท่านฉันได้ตลอดแบบเหนือกาลเวลา.. เช่นน้ำปานะสารพัดชนิด.. ถ้าแบบนั้นคุณถูกเลือกแน่นอน.. แล้วความปลื้มที่ถูกเลือก.. จะเป็นตัวคูณบุญของคุณมากขึ้นไปอีก..

สรุป คือ นอกจากใส่บาตรหรือถวายเพลพระไปวันๆตามเรื่องตามราวแล้ว.. ต้องหมั่นสังเกตพระที่เราดูแลท่านด้วย ว่าท่านขาดอะไร ขาดภัตตาหารคาว เติมคาว ขาดหวานเติมหวาน เราเติมเต็มสิ่งที่ขาดหรือหายากนั้น ทำตัวเป็นทีมเวิร์คที่เหนือกาลเวลา ยังไงก็ถูกเลือก และได้ปลื้ม

เก็บผ้าไตรไว้

ครั้งนึง ชายหนุ่มวัยกลางคนได้ไปบวชที่วัดถ้ำแห่งหนึ่ง หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ซึ่งเขาก็ได้ใช้ความรู้ตอบแทนหลวงพ่อด้วยการช่วยงานทำสื่อประชาสัมพันธ์ IT ให้กับวัด.. เขากล่าวกับพระเพื่อนว่า เขาบวชเพื่อบรรลุธรรม หมายความว่าเขาค่อนข้างเอาจริงกับการบวชครั้งนี้..

ในการออกงานใหญ่ซึ่งมีพระผู้ใหญ่จากทั้งอำเภอมาชุมนุมกัน เจ้าอาวาสยังแนะนำพระใหม่ ต่อพระผู้ใหญ่หลายรูป.. ซึ่งพระพี่เลี้ยงที่บวชก่อนเขาได้ไม่กี่เดือนนั้น ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ.. เพราะเหมือนเป็นการข้ามหน้าข้ามตาท่าน..

หลังจากนั้นพระพี่เลี้ยงก็จับกลุ่ม หาเรื่องพระใหม่รูปนั้น.. ด้วยวิธีการต่างๆนานา หลายครั้ง.. จนพระใหม่รูปนั้นถูกเจ้าอาวาสตำหนิ.. สุดท้ายพระใหม่ต้องลี้ภัยกลางพรรษาซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงเปิดช่องอนุญาตกรณีดังกล่าวไว้.. จึงได้หนีไปขออาศัยวัดของพระมหาเถระที่รู้จักกันต่างจังหวัด

ระหว่างที่พระใหม่ไม่อยู่นั้น ได้มีการสร้างข่าวลือว่าเขาทำผิดแล้วหนีไปบ้าง.. เขาสมคบคิดกับพระอีกรูปหนึ่งซึ่งพบว่าเป็นมิจฉาชีพปลอมตัวมาบวช แอบลักทรัพย์พระเพื่อนแล้วหนีไปบ้าง.. สารพัด.. ซึ่งระหว่างนั้นพระใหม่ไม่รู้เรื่องเลย.. เขาได้รับบาดเจ็บจากการตกเขาที่วัดถ้ำ และแผลติดเชื้อ จนต้องออกจากวัดของพระมหาเถระไปทำการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระใหม่รูปนั้น.. แล้วยังออกมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านรวม 1 สัปดาห์.. จนหายดีในที่สุด..

ในวันสุดท้าย ซึ่งครบกำหนด 7 ราตรีตามกฏ.. พระใหม่ได้หวนกลับมาวัดถ้ำแห่งนั้น.. เพื่อร่วมทำปาฏิโมกข์ในถ้ำครั้งสุดท้าย.. วันนั้นพระทั้งวัดในถ้ำ ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก.. ทั้งพระเพื่อนและพระพี่เลี้ยงรูปนั้น.. แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร.. จนเมื่อจบพิธีกรรม.. พระเพื่อนต่างเข้ามาพูดคุยถึงข่าวลือให้ร้ายต่างๆเมื่อตอนที่พระใหม่ไม่อยู่.. ท่านได้ตอบไขความกระจ่างจนหมดสิ้น.. ซึ่งทุกคนต่างเข้าใจท่านดี.. มีเพียงพระพี่เลี้ยงรูปนั้น ที่เดินหนีไปแอบนั่งอยู่ในห้องทำงานลำพัง..

หลังจากนั้น พระใหม่ได้เข้าไปขอกราบลาสิกขาต่อเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็น่าจะรู้สึกผิดต่อพระใหม่รูปนั้นอยู่บ้าง.. ท่านจึงมอบผ้าไตรให้พระใหม่ ซึ่งกลายเป็นฆราวาสแล้วนั้นเก็บรักษาไว้.. นัยว่า.. ให้กลับมาบวชที่วัดถ้ำแห่งนี้อีก.. แต่.. เขาได้ตัดสินใจหนักแน่นแล้วว่า.. น่าจะเป็นการจากลาครั้งสุดท้าย.. คงไม่มีวันนั้นอีก..

หลายปีต่อมา.. ชายผู้นั้นได้พบเจอพระอาจารย์ที่วัดถ้ำโดยบังเอิญ ท่านมาศาสนกิจที่วัดใหญ่แห่งหนึ่ง.. ทันทีที่เห็น เขารีบเข้าไปก้มลงกราบพระอาจารย์.. ซึ่งพระอาจารย์ได้พูดกับเขาคำแรกว่า.. "ไม่มาเลยนะ วัดถ้ำ...." เขาก็ได้เพียงแบ่งรับแบ่งสู้.. พระอาจารย์ยังกล่าวต่อว่า.. "พระพี่เลี้ยงรูปนั้นไปแล้ว.. แรกๆก็ดูดีหรอก ช่วยพัฒนาวัด ทำประตูวัด ทาสี.. แต่สุดท้าย.. ไปยุยงชาวบ้านที่วัดสาขา แล้วฮุบเอาวัดสาขาไปเป็นของตัวเองไปแล้ว.. ตั้งตนเป็นเจ้าอาวาส.. หลวงพ่อปวดหัวเลย".. ชายผู้นั้นได้แต่เพียงตอบว่า "ครับ ผมอ่านออกแต่แรกแล้ว ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าผมต้องเจออะไรมาบ้าง".. พระอาจารย์ยังถามอีกว่า.. "แล้วเมื่อไรจะไปเยี่ยมวัดถ้ำบ้างล่ะ".. เขาตอบพระอาจารย์ไปว่า.. "ก็ คงจะมีสักวันนึงในอนาคตครับ".. แต่เขาก็รู้ตัวเองดีว่า.. คำตอบนั้นมันคืออะไร..

เพราะสุดท้ายแล้ว.. เขาได้เอาผ้าไตรผืนนั้น ไปมอบให้เจ้าหน้าที่วัดใหญ่แห่งนึง.. เก็บรักษาไว้ให้กับผู้มีบุญที่จะมาบวช ได้ใช้ประโยชน์ต่อไป..

ท่ามกลางวัฏฏะสงสาร.. เราทั้งหลายเป็นเพียงฝุ่นละออง ธุลีในอากาศ.. เมื่อพบเจอกันแล้ว หมั่นทำดีต่อกันไว้ให้มาก.. เพราะเราอาจไม่ได้พบกันบ่อยนัก.. หากทำผิดต่อกันแล้ว.. เราอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลย.. เหมือนฝุ่นผงธุลีที่พัดกระจายไปต่างทิศทาง.. ยาวนานแค่ไหนที่มันจะถูกลมพัดมาเจอกันอีก..

อย่าหลงกล

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา.. ประชุมหมู่บ้าน เพื่อคัดเลือกกรรมการหมู่บ้าน ผมไปร่วมประชุมครั้งที่ 2 ในรอบ 19 ปี (โดดตลอด).. เดินไปก็สัมมาอะระหังไป (เป็นระบบ Auto ของผม คือ ตอนเดินกับตอนขับรถจะสัมมาอะระหังเลย).. ก่อนไปภรรยาก็โทรมาเข็นให้ไปร่วมประชุม อยากให้ผมเป็นกรรมการ(มั๊ง).. ผมก็เดินไปคิดในใจไป.. พอไปถึง คนมาตรึมแล้ว.. ก็มีพี่บ้านเยื้องๆกันเดินมาให้ผมเซ็นชื่อ แล้วก็ถามผมว่า "พี่จะเป็นกรรมการด้วยไหมคะ".. ผมก็ตอบง่ายๆเลยว่า.. "ได้ครับ".. ด้วยความคิดว่า อยากเอาระบบ IT ไปพัฒนางานหมู่บ้าน.. แต่พอประชุมไปสักพัก.. สามีของประธานหมู่บ้านเดินมาประกบผมและคุยกับผม.. ว่ามีลูกบ้านติดหนี้ค่าส่วนกลางหมู่บ้าน แล้วชิ่งขายบ้านหนี.. กำลังจะฟ้องร้องดำเนินคดี.. สักพักพอผมเห็นว่าวาระการประชุมหลักๆครบหมดแล้ว.. ผมก็ชิ่งมาถวายเพลพระวัดคลองครุ แล้วผมก็ครุ่นคิดทั้งวัน..
..
พระเตมีย์เป็นเชื้อกษัตริย์แท้ๆ.. ยังแสร้งง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่พูดไม่จา.. เพียงต้องการหนีจากการเป็นพระราชาองค์ต่อไป.. เพราะไม่อยากตัดสินชีวิตคน.. ไม่อยากสั่งลงทัณฑ์ทรมานคน.. ยอมสละแม้ราชสมบัติมหาศาล.. แล้วเราเป็นใครวะ.. เสร่อจะไปเป็นกรรมการ.. มุมนึงอยากเอา IT ไปพัฒนาหมู่บ้าน.. แต่อีกมุมนึงเล่า?.. ต้องไปเป็นโจทย์ยื่นฟ้องอดีตลูกบ้านต่อศาล.. ต้องแบกบาปไปเป็นคู่กรณี คู่กรรมคู่เวรกับใครก็ไม่รู้ ซึ่งไม่รู้จักมาก่อน.. เราจะเป็นไปทำไม.. คนโง่เท่านั้นที่ชอบสวมหัวโขนที่สายปกครองอุปโลกมาให้.. ถ้าเราชอบชีวิตแบบนั้นจริงๆ คงไม่ลาออกมาจากออฟฟิศ ป่านนี้น่าจะเป็น Managing Director ไปแล้ว.. เราจะย้อนกลับไปสู่ความเสื่อม หลุมพรางของสายปกครองทำไมวะ.. คนเราที่มันวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เพราะมันทำเรื่อง ทำงานของสายปกครองทั้งนั้น..
..
คิดได้ดังนั้นแล้ว.. ผมจึงยื่นหนังสือลาออกทาง Line กลุ่มหมู่บ้าน.. ขอให้แต่งตั้งคนอื่นขึ้นแทน..
..
สรุป.. ทุกความสำเร็จล้วนดูดี หอมหวาน.. แต่มันอาจเป็นทุกขลาภ นำพาเรื่องร้อนใจมาในภายหลัง.. สุดท้าย ถ้าคิดจะสำเร็จ จงสำเร็จโดยธรรม.. ดีที่สุด..

เธอจงเข็นซะ

เรื่องเล่าในวันพระอาทิตย์ทรงกลด เมื่อวานระหว่างที่ผมสวดมนต์พร้อมเดินเวียนขวารอบพระพุทธธรรมกายเทพมงคล ขณะกำลังเลี้ยวขวาจากด้านหลังพระสู่ด้านข้าง.. มีมอเตอร์ไซด์ฮอนด้าคิวบิกสีดำเหลืองคันหนึ่งขับมาพอดี.. พ่นควันเหม็น.. คนขับเป็นผู้หญิงทรงทอม (อาจไม่ใช่ก็ได้).. ผมนึกในใจว่า..

"มาขับอะไรตรงนี้.. ไม่ควรนะ.."
1. เขามีที่ให้จอดรถมอเตอร์ไซด์ข้างนอก
2. ไม่ได้บรรทุกของอะไรเข้ามาเลย จะขับเข้ามาทำไม?
"ถ้าจะเอาเข้ามา.. ควรดับเครื่องแล้วเข็น.."
..
เท่านั้นแหละ.. มอไซด์ดับตรงเข่าซ้ายขององค์พระใหญ่นั้นเลย.. คนขับพยายามสตาร์ทเท่าไรก็ไม่ติด.. ต้องเข็นอย่างสงบไปที่ชอบที่ชอบ..
..
เล่าสู่กันฟังเฉยๆ.. ผมไม่ได้เก่งอะไรหรอกครับ.. เป็นเพียงคนธรรมดาที่ตั้งใจทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ใหญ่.. ซึ่งบังเอิญว่า.. น่าจะมีคนสนับสนุนผมอยู่เบื้องหลัง ด้วยความที่อยากอนุโมทนาบุญกับผม.. ก็แค่นั้นเอง..
..
..
ผมทำอะไร?.. เมื่อรู้ว่าพระองค์ใหญ่เสร็จสมบูรณ์แล้ว.. ผมอยากมากราบสักการะท่าน.. อยากมาเดินเวียนขวารอบท่านเพื่อบูชาคุณพระรัตนตรัย ซึ่งผมก็ได้มาครั้งก่อน 1 รอบ.. ครั้งนี้ 3 รอบ.. (ในแบบที่เจ้าหน้าที่ยังเคลียร์ภาคพื้นดินไม่เสร็จดีเท่าไร.. ยังไม่ควรเดิน).. และผมก็ถอดรองเท้านั่งคุกเข่ากราบท่านลงบนพื้น นั่งคุกเข่าสวดมนต์ อธิษฐานจิตอยู่ตรงนั้น.. โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง.. ทั้งๆที่คนอื่นๆส่วนใหญ่มาถึงจุดนี้เพียงเพื่อ.. พนมมือไหว้พระ+ขอพรพระ+ยืนถ่ายภาพพระ+ถ่ายเซลฟี่.. แล้วก็ไป..

เอหิปัสสิโก

(ท่านจงมาพิสูจน์เถิด, พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง, รู้เห็นได้ด้วยตนเอง) คำๆนี้เกิดขึ้นที่นี่ก่อน.. คือหลวงปู่ท่านกล่าวคำ เอหิปัสสิโก ในบทสวดมนต์สรรเสริญคุณพระธรรมที่นี่ก่อน.. คือวัดปากน้ำภาษีเจริญ.. ก่อนที่คำๆนี้จะถูกกล่าวขานในวัดที่พระลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านไปสร้างยังที่ต่างๆอีกหลายแห่ง.. และมีการกล่าวคำๆนี้ ณ วัดต่างๆเหล่านั้นอีกมากมาย..
วันนี้พอดีไปธุระที่ออมสินแถวที่ทำงานเก่า.. ถนนโล่ง จึงขับรถเลยไปทำบุญที่วัดปากน้ำ.. แรกเลยก็คิดว่าอาจมีการปิดกั้น.. เตรียมใจไว้แล้ว.. เข้าถึงได้เท่าไรก็เท่านั้นละกัน.. ปรากฏว่า.. ประทับใจมากครับ.. นี่พระท่านไม่ให้ราคาโควิดกิ๊กก๊อกเลย.. คือ ตื่นรู้.. มีสติประกอบปัญญา ว่ามันเป็นยังไงต้องป้องกันอย่างไร.. แต่ไม่ตื่นตูม.. วัดของมหาปูชนียาจารย์ท่านไม่สะทกสะท้านต่อโควิดเลย.. เพียงคงมาตรการคัดกรองเข้มข้นตาม Step ของ ศบค. ก็สามารถเปิดวัดตามปกติเพื่อเป็นเนื้อนาบุญแด่หมู่สัตว์ผู้ยากอย่างผมแล้ว.. เข้าทำบุญได้ทุกโซน สักการะได้ตามปกติ.. ผมอยากทำบุญกับวัดในสายบุญหลวงปู่อย่างยิ่งยวด.. ยอดเยี่ยมครับ ต้องอย่างนี้สิ.. ทำการใหญ่ (รื้อสัตว์ขนสัตว์ไปพระนิพพาน) ใจต้องใหญ่ตามแบบมหาปูชนียาจารย์นะครับ..
บูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นหนึ่งในมงคลชีวิต การปฏิบัติบูชา คือการบูชาอย่างสูงสุด ก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างไร เราทำอย่างนั้น เอาไปปรับใช้ในชีวิตนะครับ ตื่นรู้ แต่ไม่ตื่นตูม.. อย่าให้โควิดมันกลบชีวิตและลมหายใจในการสร้างบารมีครับ ถ้ามีกรรมต้องชดใช้ อยู่บ้าน ก็มีสิทธิ์ติดโควิดได้ครับ

Kumewa

วันหนึ่งขณะนั่งคิดชื่อเว็บไซต์ใหม่อยู่ที่ศูนย์อาหาร Food Island ของห้าง Fashion Island โดยต้องการให้เว็บใหม่นี้ มีอักษรย่อชื่อตนเองและภรรยา ซึ่งบังเอิญใช้อักษรตัวเดียวกันคือ K และอยากให้สื่อถึงชื่อมหาวิทยาลัยที่จบการศึกษามาคือ KU รวมทั้งต้องการที่จะบอกว่าเว็บนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนอาจกำลังหาอยู่ ก็ไปได้คำสั้นๆง่ายๆที่คนกันเองใช้พูดคุยกันคือคำว่า "มีว่ะ" จึงใช้อักษร mewa ตามเข้าไป กลายเป็น Kumewa ซึ่งสามารถใช้เป็นสแลงตอบเวลาคนกันเองถามว่าเรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ไหม ว่า "กูมีว่ะ"..

มากกว่านั้น Kumewa ยังบอกเป็นนัยซ่อนเร้นว่าเด็ก KU ทั้งศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน สามารถมาจอยกันในนี้ได้.. เพราะครูบาอาจารย์เราคือหลวงพ่อก็ KU เช่นกัน โดยเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับผม.. รวมทั้งเด็ก KKU ซึ่งเป็นสถาบันเก่าของภรรยาเจ้าของเว็บไซต์ ก็สามารถมาแจมกันได้ด้วย.. เหนือกว่านั้นคือ Kumewa ยังใช้เป็นสแลงบอกกับเราอีกว่า.. "ครูมีว่ะ" นั่นคือ "เพื่อนครู" ซึ่งเป็นอาชีพเดียวกับภรรยาเจ้าของเว็บไซต์

แท้จริงแล้ว Kumewa อ่านว่า "คุ-เมะ-วะ" เป็นภาษาสวาฮิลี (Swahili) แปลว่า "กิน" ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่าคำนี้มาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิด เพราะศัพท์ 1 ตัวอาจใช้ในหลายประเทศในความหมายที่แตกต่างกันก็ได้ ซึ่งทางทีมงานก็ตรวจสอบพบว่า Kumewa ในภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า "คุ-เมะ-วะ" โดยเขียนว่า くめわ ซึ่งไม่พบความหมายตรงตัว แต่หากแยกคำจะพบว่า く "คุ" แปลว่า "เก้า" ส่วน め "เมะ" แปลว่า "ดวงตา" และ わ "วะ" แปลว่า "วงกลม".. เมื่อนำมาผสมกันนั้น.. เก้า+ดวงตา+วงกลม.. ในทางธรรมนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นดวง (วงกลม) ผุดซ้อนละเอียดที่ศูนย์กลางกาย.. ดวงตาที่เห็นธรรมะทั้ง 9 ย่อมเหนือมนุษย์ปกติธรรมดา ย่อมมองเห็นสิ่งที่เหนือโลก ก็คือ โลกุตระ.. ดังนั้นจึงขอแปล Kumewa ซึ่งเป็นชื่อเว็บไซต์นี้ในแบบที่ชอบว่า "โลกุตระธรรม 9 ประการ" ซึ่งหมายถึง สภาวะธรรมในระดับพ้นโลก (เหนือโลกิยะ) คือ อริยมรรค 4 อริยผล 4 นิพพาน 1 โดยมีรายละเอียดดังนี้.. มรรค 4 คือ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค, ผล 4 คือ โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล, และ นิพพาน 1 

ถ้าอธิษฐานมาดี

  • คนเราถ้าอธิษฐานมาดี.. ต่อให้พี่ชายที่บ้านสูบบุหรี่.. เราก็ไม่สูบ และต่อต้านคนที่สูบ.. เพราะอากาศบริสุทธิ์จำเป็นมากสำหรับชีวิตมนุษย์..
  • คนเราถ้าอธิษฐานมาดี.. ต่อให้เพื่อนทั้งมหาวิทยาลัย และวัฒนธรรมที่มหาวิทยาลัยที่เรียน บูชาเหล้าเบียร์แค่ไหน.. เขาก็ไม่ดื่ม.. กล้าตอบชัดๆว่า "ผมถือศีล 5 ครับ".. และพร้อมสะบั้นมิตรภาพกับใครก็ตามโดยไม่เว้นสังคมทุกชนชั้นที่เอามิตรภาพไปฝากไว้กับน้ำเมาแล้วมาบังคับให้เราดื่ม.. มากกว่านั้นคือ อธิฐานมาดีมากขนาดร่างกายต่อต้านแอลกอฮอล์ชัดเจน..
  • คนเราถ้าอธิษฐานมาดี.. ต่อให้เพื่อนร่วมงานกว่า 90% เล่นพนันบอลและพยายามชวน.. เขาก็ไม่เล่น.. ยอมเป็นแกะดำให้เพื่อนเกลียด แต่จะไม่เล่นการพนันเด็ดขาด..
  • คนเราถ้าอธิษฐานมาดี.. จีบสาวแล้วสาวเหยียบเรือสองแคม.. รักเผื่อเลือก.. เขาจะเลิกยุ่งทันที.. เพราะเรื่องกามราคะสืบสกุลไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การต้องมาแข่งขันกับใคร.. ถ้าแข่งกันทำบุญยังจะดีซะกว่า..
  • คนเราถ้าอธิษฐานมาดี.. ต่อให้คนรอบข้าง บ้าหวย หุ้น แชร์ คริปโต.. เขาก็ไม่เล่น.. เพราะมันเป็นอภิชฌา.. ได้ไม่กี่คน เสียรอบวง.. ทั้งวงคนใจใสมีน้อย แต่คนใจหมองมีเยอะมาก.. #ยิ่งเล่นยิ่งฉิบหาย ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า.. (เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบุญสลากภัต ที่คนพาลพยายามจับโยง.. เพราะสลากภัต โยมให้พระโดยไม่ต้องวางเดิมพัน ถ้าบุญสลากภัตจะมาเสวย.. อยู่เฉยๆลาภก็มาหาได้เอง)
  • คนเราถ้าอธิษฐานมาดี.. ใครอยากได้อะไรเขาจะให้ได้ทั้งหมด.. จะไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร.. ไม่ว่าจะเป็นการแย่งงาน แย่งอาชีพ แย่งชื่อเสียง แย่งแสงไฟ.. หรือแม้แต่แย่งมรดก..

เพราะเสียอะไรก็เสียได้.. ใครจะเอาอะไรก็เอาไป.. แต่ธรรมะของคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ที่พร่ำสอนศิษย์เท่านั้น.. ที่ควรค่าแก่การรักษาไว้อย่างสำคัญสูงสุด..

สิ้นสงสัย

#ปริศนาที่มีคนตอบให้ฟังแล้ว
#เมื่อก่อนเคยสงสัยว่าทำไม..
..
1. ว่ายน้ำไม่เป็น จมน้ำเกือบตายในสระ BJ แถวซอยอยู่ดี สมัยอยู่ ม.ต้น.. เรียกไม่มีใครได้ยิน.. จมลงก้นสระ.. นึกถึงหนังจีนพระเอกถูกผลักตกน้ำ ลูกศิษย์เอาไม้พายตีจมก้นทะเล.. อุ้มก้อนหินเดินใต้ทะเลขึ้นฝั่งได้.. เลยฮึดสูดน้ำแทนอากาศอึกสั้นๆแล้วฮึดเดินใต้สระไปหาราวบันได ปีนขึ้นมาได้.. เกือบตาย..
..
2. คลานต่ำขั้นแอดวานซ์ คือ ตลานต่ำแบบถอยหลังกลับซิกแซกตามช่องว่างของคนที่นอนหมอบกับพื้นอยู่ข้างหลัง.. โดยต้องชำเลืองจับจังหวะที่ทหารที่ถือปืนอยู่ หันไปมองทางอื่น.. และเมื่อถึงชายขอบฝูงชนที่นอนคว่ำอยู่.. ก็มองหาเสากำบังเพื่อหลบ อธิษฐานจิต ขอให้ได้กลับไปดูแลตอบแทนพระคุณพ่อแม่ก่อน อย่าเพิ่งตายตอนนี้.. ขอพระรัตนตรัยคุ้มครองด้วยเทอญ.. แล้วจับจังหวะทหารหันไปทางอื่น ลุกขึ้นวิ่งเต็มกำลังไปหลบหลังแนวเสา แนวกำแพงป้อมมหากาฬ(ที่นอนบนปืนใหญ่เมื่อคืน).. ค่อยๆวิ่งหลบเป็นจังหวะ.. และหนีขึ้นรถเมล์สาย 60 กลับบ้านได้อย่างปลอดภัยในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 (30 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นทำงานที่แรกที่ Isuzu Motors ปู่เจ้าฯ)..
..
3. ว่ายน้ำไม่เป็น แต่โดนบังคับให้เล่นเรือกล้วยที่ชายหาดรอยัลคลิฟบีช สมัยทำงานตรวจสอบกลุ่มชินวัตรฯ.. ทำสมาธิจับจังหวะเรือล่ม รีบสูดลมหายใจเข้าปอด นิ้วโป้งทั้งสองล็อคเชือกแน่นไม่ปล่อย แม้โดนเรือกล้วยกระชากและเจอแรงต้านจากน้ำมหาศาล.. แต่ขึ้นเรือกล้วยได้เป็นคนแรกทุกครั้ง และกลายเป็นคนยื่นมือช่วยคนอื่นๆที่ว่ายน้ำเป็นขึ้นเรือทีหลัง 🤣 โชคดีที่นิ้วไม่ขาด
..
4. ล่องเรือตกหมึกข้ามคืนกับคนองค์การโทรศัพท์ ถือศีล 5 เคร่งครัด ไม่ตกปลาไม่ตกหมึกแม้โดนรบเร้าเพราะต้องการเอาใจเรา.. ไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียวมากกว่า 15 ชั่วโมงเพราะบนเรือไม่มีน้ำ มีแต่เบียร์กระป๋องไม่อั้นพร้อมเสิร์ฟ.. แต่ยอมขาดน้ำตายดีกว่าต้องผิดศีล..
..
5. ต่อจากข้อ 4 รุ่งเช้าสวมชูชีพลงไปเล่นน้ำเล่นใกล้เรือใหญ่ แต่ถูกเรือหางยาวดูดเข้าไป เลยเกาะเรือหางยาวเข้าหาฝั่ง.. แต่เด็กเรือบอกให้ปล่อยมือ เพราะใกล้เกาะเต่าแล้ว มีแนวปะการังรอบชายฝั่งจะบาดตัวเรา.. จำต้องฮึดว่ายทวนน้ำทะเลกลับเรือใหญ่ เพราะแว่นตาและของทั้งหมดอยู่บนเรือใหญ่.. ว่ายมั่วๆเพราะว่ายน้ำไม่เป็นราวชั่วโมงนึง จนเป็นตะคริว.. ถอดใจยอมตายแล้ว.. ปล่อยตัวเองลอยตามคลื่นไป.. ระหว่างนั้นนึกถึงหน้าแม่.. แม่รู้แค่ว่าเรามาตรวจสถานีฐาน NMT และ GSM ภาคใต้ตอนบนทั้งหมด.. แต่ไม่รู้ว่าเรามาเที่ยวทะเล แม่คงเสียใจที่เราตาย.. คงร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด.. คิดว่าเราตายไม่ได้.. ต้องกลับไปหาแม่.. ตอนนั้นเหมือนแสงสว่างวาบที่กลางท้อง.. ฮึดสู้ แต่พบว่าคลื่นได้พัดตัวเราลอยห่างจากเรือใหญ่ไปมากกว่าตอนแรกอีก.. จึงบอกตัวเองว่า.. ทางเดียวที่จะรอดตาย.. คือต้องว่ายไม่หยุดเท่านั้น.. แล้วก็คิดได้ว่า.. หากว่ายท่าเดียวก็จะเป็นตะคริวอีก.. ตอนเด็กๆเราเคยเรียนสุขศึกษา มีสอนท่าว่ายน้ำท่าต่างๆ.. เราต้องเปลี่ยนไปว่ายท่าต่างๆ เพื่อป้องกันการเป็นตะคริว.. คิดดังนั้นจึงว่ายไม่หยุด พอเมื่อยก็เปลี่ยนท่าไปเรื่อย.. แต่มีเงื่อนไขเดียวคือ "ห้ามหยุดว่ายเด็ดขาด".. ตายเป็นตายสิวะ.. คลื่นตอนนั้นก็หายห่วง.. คือไม่ต้องห่วง.. มีห่วงก็ถูกซัดจมหายได้ง่ายๆ 🤣 เพราะมันคือคลื่น 2-3 เมตรกลางทะเลลึก.. มันพร้อมจมคุณจมดิ่ง แล้วโยนคุณลอยสูงขึ้นไป.. สลับไปมาจนกว่าคุณจะท้อ.. แล้วน้ำทะเลนั้นแสบตามากๆเพราะเค็มจัด.. คุณหิวน้ำให้ตายยังไงก็กินมันไม่ลง เพราะโคตรเค็ม.. แต่ก็ต้องเข้าปาก เข้าปอดบ้าง.. เช่นกันกับตอนรอดตายจากเรือกล้วยครับ.. ผมไม่ใช่คนว่ายน้ำไม่เป็นที่เซ่อซ่า.. ผมบอกตัวเองว่า เราต้องปรับจังหวะการหายใจ.. ผมจับจังหวะคลื่นดันผมขึ้น รีบสูดอากาศให้เต็มปอด.. เพราะจังหวะต่อไปคลื่นอีกลูกจะโถมทับตัวเราจนหายใจ(เข้า)ไม่สะดวก.. จังหวะนั้นให้หายใจออกแทน.. ทำแบบนี้สักพักจนเริ่มชิน.. แล้วว่ายไม่หยุด.. จนเป็นตะคริวอีกครั้ง.. คราวนี้ตะคริวก็ตะคริวเหอะ.. อย่าหวังที่จะหยุดผม.. ผมไม่สน.. ว่ายต่อไปไม่หยุด เพราะไม่อยากกลับไปเริ่มต้นใหม่อีก.. ทำเช่นนี้เรื่อยไป.. ตายเป็นตาย.. แดดกลางทะเลนะคุณเอ๊ยยย.. โคตรแรง.. มันเผาตัวและหน้าผมเกรียม.. แล้วน้ำทะเลสาดมาอีก.. เหมือนถูกเฆี่ยนแล้วเอาน้ำเกลือราดยังไงยังงั้นเลย.. ระหว่างว่าย.. ท้อจนไม่รู้จะท้อยังไง.. หมดแรงจนไม่รู้จะเอาแรงที่ไหนแล้ว.. แต่คิดอย่างเดียวว่า.. เราต้องว่ายต่อไป.. แล้วก็คิดถึงว่า.. ถ้าแถวนี้มีฉลามหรือสัตว์ดุร้าย.. เราคงตาย.. อย่ากระนั้นเลย.. หากเทพเทวาที่ดูแลท้องทะเลมีจริง.. หากศีลที่ข้าพเจ้าตั้งใจรักษาไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ทะเลแม้จะมีโอกาสและถูกรบเร้า.. ไม่ดื่มของมึนเมาแม้จะไม่มีน้ำให้ดื่มเลย.. หากศีลที่ข้าพเจ้าเพียรรักษาด้วยชีวิตนั้นดีจริง.. ขอท่านเทพเทวาผู้ดูแลท้องทะเล โปรดคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยเทอญ.. และโปรดช่วยข้าพเจ้าเหมือนที่เคยช่วยพระมหาชนก.. ให้ข้าพเจ้าสามารถว่ายกลับเรือใหญ่ได้อย่างปลอดภัยด้วยเทอญ.. สาธุ.. หลังจากนั้นก็ว่ายไปไม่หยุด.. จนกระทั่งผ่านไปราว 4 ชั่วโมง.. ใกล้ถึงเรือใหญ่.. น้องที่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ว่ายเข้ามาหาแล้วคุยกัน.. เขายกนิ้วให้ผม 👍 ผมบอกว่าผมว่ายน้ำไม่เป็น.. น้องคนนั้นกลับไม่เชื่อ.. บอกว่า..
..
"พี่อย่ามาอำผม.. ผมเห็นพี่ว่ายสารพัดท่า.. คนบนเรือ (ราว 30-40 คน) เขาก็ดูพี่ เชียร์พี่อยู่ทั้งลำ.. แล้วพี่รู้มั้ย.. นักกีฬาว่ายน้ำต่อให้ใส่ชูชีพเขายังไม่กล้าว่ายทวนคลื่นน้ำกลางทะเลอย่างพี่เลย.. โคตรอันตราย"..
..
(ผมนึกในใจ.. เออ.. ก็ถ้ากูว่ายน้ำเป็น คงรู้ว่ามันอันตราย คงไม่กล้าลงมาเล่นหรอก.. แต่เพราะกูว่ายไม่เป็นไง) 🤣 หลังจากว่ายถึงเรือใหญ่.. เสียงปรบมือจากคนบนเรือดังกระหึ่มท้องทะเล.. ประมาณการต้อนรับบุตรแห่งโพไซดอน 🤣 (หารู้ไม่.. กูเกือบตาย) 🤣
..
6. ตกจากที่สูงตอนอายุราว 4 ขวบ.. ยืนบนราวกันบันไดชั้น 2 บ้านยาย.. กระโดดพุ่งหลาวลงบนมุ้ง.. เด้งกลับหลังไปตกบันไดด้านหลังราวที่ยืนกระโดดตอนแรก.. กลิ้งตกบันไดถึงชั้นล่าง.. เป็นเหตุให้เลือดกำเดาแตกง่ายมากตั้งแต่เด็ก เพราะถูกกระแทกแรง..
..
7. ตอนอยู่ปี 2 ตกจากหลังคาโรงรถที่ ม.เกษตร ถูกขาโต๊ะขาเก้าอี้แทงหลังถลอกแถวเหนือก้นกบนิดเดียว เลือดสาด.. ถ้าเบี่ยงอีกนิดเดียวคือสวนทวาร.. ตายแน่.. เดินกะเผลกออกมา.. รุ่นพี่ช่วยไว้ ทายาให้ แต่ไม่ไปหาหมอใดๆทั้งสิ้น.. ตั้งแต่นั้น มีปัญหากระดูกหลังมาตลอด.. เดินมากไม่ได้.. และนั่งมากก็ไม่ได้.. เป็นปัญหากับการทำงานออฟฟิศในเวลาต่อมาด้วย..
..
8. ตกหลังคาบ้านตัวเอง.. ฝ้าทะลุ.. ตกลงมาในห้องน้ำด้านล่าง.. พี่คนโตต้องมาช่วยไว้.. ไม่เคยหาหมอ.. แต่มันตอกย้ำความยับเยินให้กับกระดูกสันหลัง+กระดูกก้นกบ+กระดูกขา+กระดูกคอ.. เรียกว่าทั่วร่างสะเทิ้นไปหมด.. เดินกะเผลกอยู่นาน.. และโรคประจำตัวคือ ปวดกระดูกคอ.. ซึ่งมีผลกับการทำงานมากๆ.. (ไอ่แหย๋ มันเห็นผมนั่งสมาธิที่วัด มันมาแอบด่าผมทางอินบ๊อกว่าผมหลับ.. แท้จริงแล้วคือไม่ได้หลับ.. แต่ปวดคอ จึงต้องพับคอลงในท่าต่างๆคล้ายหลับ.. ดังนั้น ถ้าเห็นผมคอพับ.. ให้รู้ว่า ปวดคอมากครับ.. ไม่ได้หลับ)
..
9. จากข้อ 6-7-8 ผมจึงต้องทำกายภาพบำบัดตัวเองทุกวัน.. แต่คนอื่นไม่รู้.. ผมทำจนกระทั่ง.. วันนึง.. ผมคิดว่า.. ถ้าผมต้องพิการ.. ขอให้ได้ชื่อว่าเป็นคนนึงที่สามารถเดินเวียนประทักษิณรอบมหาธรรมกายเจดีย์ได้.. มากเท่าที่สังขารจะรับได้ด้วยเถิด..
..
แล้วผมก็ค่อยๆพยายามเดิน.. จากเดิมสมัยก่อนที่.. พวกเราร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นมาตั้งไว้กราบไหว้ โดยแต่ละคนได้แต่นั่งมองเจดีย์อยู่ไกลๆท่ามกลางแดดระยับอยู่อย่างนั้นหลายปี.. จะมีก็เพียงพิธีสำคัญที่หลวงพ่อท่านนำพาให้พวกเราเดินเวียนประทักษิณ 1 รอบ.. แต่ยุคนั้นใครเดิน 2-3 รอบถือว่ายอดคน.. ซึ่งสภาพกระดูกยับเยินแบบนั้น.. ผมก็ไม่ไหวเช่นกัน..
..
วันเวลาผ่านมา.. ผมจำเป็นต้องช่วยเหลือคนที่ผมรัก.. เช่น ภรรยา แม่ยาย และแม่ผม.. แต่ผมกลับพบว่า.. การทำทาน ทำบุญด้วยเงินหรืออาหารนั้น.. ต่อมปลื้มผมทำงานน้อยลง.. มิใช่ว่าไม่ปลื้ม.. ปลื้มมากมาย.. แต่ใจมันเฝ้าค้นหาบุญที่จะทำให้ปลื้มทับทวียิ่งยิ่งขึ้นไปอยู่เรื่อยมา.. ซึ่งจะให้ผมปลื้มในทานมากกว่านั้น.. คือ ผมต้องขี่คอเจ้าภาพใหญ่แล้วกล่าวคำถวายทาน 🤣 ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ 🤣 ประกอบกับในวันที่ผมลำบาก.. แต่อยากปลื้มสุดๆจากบุญ.. ทำไง.. ผมจึงได้ลองเดินเวียนประทักษิณรอบพระมหาธรรมกายเจดีย์.. จาก 1 รอบ.. 3 รอบ.. 5 รอบ.. 8 รอบ.. 11 รอบ.. แล้วอธิษฐานจิตเพื่อคนที่เรารัก.. ผมพบว่ามันได้ผล.. ผมจึงเดิน 13 รอบ.. และล่าสุด 15 รอบรวดเดียวไม่ถอนถอย.. ซึ่งก็ทำให้ภรรยาของผม.. หายป่วยเร็วเกินคาด.. เร็วกว่าที่คิดไว้.. เพราะเธอคลอดก่อนกำหนดราว 2 เดือน.. อวัยวะภายในยังพัฒนาไม่เต็มที่.. เธอจึงมีปอดที่ไม่แข็งแรงเหมือนคนอื่น.. เหนื่อยง่าย.. และเป็นลิ้นหัวใจรั่วตั้งแต่เกิด.. มองดูแล้ว.. การป่วยด้วย C๐vid ซึ่งคนธรรมดายังรอดยาก.. จึงหนักหนาสาหัสสำหรับครูเก๋มากๆ.. ผมจึงทนอยู่เฉยๆไม่ได้.. ครั้นจะไปดูแลเธอ ก็ไม่มีประโยชน์.. โรคนี้ทุกคนต้องสอบผ่านด้วยตัวของตัวเอง.. ผมจึงได้เพียงแต่ส่งบุญทุกบุญช่วยภรรยา.. รวมทั้งบุญสัจจะบารมีและอธิษฐานบารมี #15รอบรวดเดียวไม่ถอนถอย ให้เธอ.. มารู้ตัวอีกที.. ผมซึ่งเคยเกือบเดินไม่ได้.. วันนี้กลับเดินแซงคนสุขภาพดี คนที่มีกระดูกหลังดี มีเท้าแข็งแรง.. ไปได้ 15 รอบรวดเดียวไม่ถอนถอยแล้ว..
(เจ้าตาก ชาตินี้คือพระชาคริต อคฺคพโล)
7 ตุลาคม 2565
..
เพิ่มเติม.. หายสงสัยแล้วว่าทำไม..

10. ชอบใช้ภาพแต่งชุดไทยนี้ เป็นภาพโปรไฟล์ใน Facebook มาเป็นสิบๆปี โดยไม่เปลี่ยนเลย..

11. ทำไมชอบกลิ่นกำมะถันดินปืน และน้ำมันเบนซินมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่พี่ทดลองวิทยาศาสตร์จุดไม้ขีดไฟ จะรู้สึกหอมมาก.. เวลาพี่คนโตสตาร์ทมอเตอร์ไซด์พาไปส่งโรงเรียน จะหอมกลิ่นน้ำมันเบนซินมาก สูดเต็มปอด

12. ทรหดอดทนเดินเวียนประทักษิณรอบมหาธรรมกายเจดีย์ได้ 15 รอบรวดเดียวไม่ถอนถอย ซึ่งต้องใช้เวลาราว 3.30 ชั่วโมง

13. มีความเพียรพยายามว่ายทวนน้ำกลางทะเลราว 4 ชั่วโมง ทั้งที่เป็นตะคริวและว่ายน้ำไม่เป็น แต่พยายามว่ายไม่หยุดทั้งที่เป็นตะคริวอย่างนั้น กระทั่งรอดตายมาได้

14. ในวัยเด็กมักฝันร้ายถึงผีหัวขาด และกลัวมาก

15. เป็นโรคจิตอ่อนๆในวัยเด็ก ชอบคิดว่าตนเองมีพลังจิต สามารถตัดหัวคนที่ไม่ชอบหน้า ได้ด้วยการลากสายตาผ่านลำคอของคนๆนั้น แล้วหัวของคนนั้นก็จะหลุดออกจากบ่า.. ซึ่งราว 9 ขวบพยายามรับรู้ว่าสิ่งนี้ไม่จริง เราทำไม่ได้อย่างนั้นจริง อาการดังกล่าวจึงค่อยๆหายไป

16. ทำไมจึงปล่อยหมัดธนูมือได้ หลังจากถือศีล 8 ต่อเนื่อง 9 เดือน พร้อมนั่งสมาธิวันละ 3 ชั่วโมงตลอด 9 เดือน แล้วสวดมนต์บทสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย (อิติปิโส ภควา.. สวากขาโต.. สุปฏิปันโน..) แล้วเป่าไปที่หมัด..

17. ทำไมจึงหลอนเมื่อจับของมีคม ไม่ว่าจะเป็นมีด คัทเตอร์ กรรไกร หรือแม้แต่ฆ้อน จะมีความรู้สึกที่แวบเข้ามาทันทีว่า มันเอาไว้ฆ่าคนได้.. จึงไม่อยากสัมผัสของมีคมเท่าไร และไม่อยากทำครัว.. พยายามบำบัดด้วยการไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ และรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว..

18. ทำไมจึงเกิดใน "วันโลกาวินาศ" คือ เป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย "การสูญสิ้น" และ "การก่อกำเนิดใหม่"

อ่าน คนธรรมเว็บ