มือใหม่มักเข้าใจว่าคนที่ขับรถเก่ง คือ คนที่ขับรถเร็ว ถึงที่หมายเร็วที่สุด.. ซึ่งนับว่ายังตื้นเขิน..
ส่วนมือเก่า ประสบการณ์จะบอกกับเขาว่า..
คนที่ขับรถเก่ง คือ คนที่ขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม.. ถึงที่หมายในเวลาที่เหมาะสม.. โดยสวัสดิภาพ ปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน.. แตะเบรคน้อยที่สุด แต่ใช้แรงเฉื่อยจากการปล่อยคันเร่งแทนการเบรค ทำให้รถสึกหรอน้อยที่สุดและสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยที่สุดในรอบของการเดินทางนั้นๆ.. เป็นผลให้ผ้าเบรคสึกน้อยมาก.. ใช้น้ำมันเต็มประสิทธิภาพ เพราะไม่มีการเหยียบคันเร่งเกินความเหมาะสมกับสภาพการจราจรจนต้องแตะเบรคบ่อยๆ.. แทบไม่มีน้ำมันที่เผาผลาญโดยสูญเปล่า.. และคนเหล่านี้ ทำประกันสูญเปล่า.. เพราะไม่เคยเคลมเลย.. ยกเว้นโชคร้ายโดนคนอื่นชนเท่านั้น..
"หนทางจะใกล้หรือไกล.. ใจเราล้วนกำหนดเอง.."
(หมายถึง มันเป็น "สัญญา" อย่างหนึ่ง ที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น)
"คนที่มีศักดิ์ศรีเยอะ เขาจะไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีบนท้องถนน.."
"ส่วนคนที่กลัวเสียศักดิ์ศรีบนท้องถนน คือคนที่ไม่ค่อยมีศักดิ์ศรี จึงกลัวที่จะเสียมันไปนั่นเอง.."
"สิ่งของอาจแตกเสียหายทำลายได้.. แต่ใจคนต้องไม่เสีย.."
"เมื่อเกิดวิกฤติ.. เราต้องได้มิตร มิใช่ศัตรู.."
"อย่างไรก็ตาม.. คนที่เก่งสุดๆกลับบ้านเก่าไปหมดแล้ว.. พวกไม่ค่อยเก่งเท่านั้น ที่ยังเหลือรอดบนท้องถนน.."
"รักษ์รถ.. ให้เหมือนกับที่รถรักษ์เรา.."
จากประสบการณ์ใส่บาตรพระตั้งแต่เด็กจนเริ่มชรา.. พบว่า.. ถ้าคุณใส่โยเกิร์ต นม น้ำผลไม้.. พระท่านมักเก็บไว้ฉันเอง.. แต่ถ้าคุณใส่ข้าว+แกงถุง+กับถุง.. คุณจะพบว่าคนอื่นก็ใส่บาตรเป็นข้าว+แกงถุง+กับถุงอีกมากมาย.. ซึ่งส่วนใหญ่ พระท่านฉันไม่หมดก็จำต้องคัดออกให้ญาติโยมสาธุชนที่มาช่วยงานที่วัดนำกลับไปกินที่บ้าน.. ถ้าคุณไม่คิดอะไรมาก จะถวายอะไรนั้นย่อมได้บุญอยู่แล้ว.. แต่ถ้าคุณคาดหวังว่าพระท่านจะได้ลิ้มรสอาหารที่คุณถวายแบบแน่นอน.. ก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้..
วิธีการที่ดีก็คือ.. คุณต้องมองภาพรวมออก.. แล้วตัดสินใจ.. ถ้าคุณต้องการถวายภัตตาหารให้ท่านลิ้มรส.. ก็ต้องเป็นอาหารเลิศรสที่ท่านไม่ค่อยมีโอกาสได้ฉันบ่อยๆ.. โดยดูช่วงอายุของพระท่านด้วย.. ส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้น.. ไปคิดดู..
แต่ถ้าคุณไม่ชอบการแข่งขัน.. นอกจากบุญที่ได้แน่นอนเมื่อใส่บาตรแล้ว ยังอยากถูกเลือกแบบง่ายๆ.. ก็ต้องยอมเป็นทีมเวิร์คที่อยู่เหนือกาลเวลา.. เป็นส่วนเติมเต็มความอิ่มอร่อยและเลิศรสที่พระท่านฉันได้ตลอดแบบเหนือกาลเวลา.. เช่นน้ำปานะสารพัดชนิด.. ถ้าแบบนั้นคุณถูกเลือกแน่นอน.. แล้วความปลื้มที่ถูกเลือก.. จะเป็นตัวคูณบุญของคุณมากขึ้นไปอีก..
สรุป คือ นอกจากใส่บาตรหรือถวายเพลพระไปวันๆตามเรื่องตามราวแล้ว.. ต้องหมั่นสังเกตพระที่เราดูแลท่านด้วย ว่าท่านขาดอะไร ขาดภัตตาหารคาว เติมคาว ขาดหวานเติมหวาน เราเติมเต็มสิ่งที่ขาดหรือหายากนั้น ทำตัวเป็นทีมเวิร์คที่เหนือกาลเวลา ยังไงก็ถูกเลือก และได้ปลื้ม
ครั้งนึง ชายหนุ่มวัยกลางคนได้ไปบวชที่วัดถ้ำแห่งหนึ่ง หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ซึ่งเขาก็ได้ใช้ความรู้ตอบแทนหลวงพ่อด้วยการช่วยงานทำสื่อประชาสัมพันธ์ IT ให้กับวัด.. เขากล่าวกับพระเพื่อนว่า เขาบวชเพื่อบรรลุธรรม หมายความว่าเขาค่อนข้างเอาจริงกับการบวชครั้งนี้..
ในการออกงานใหญ่ซึ่งมีพระผู้ใหญ่จากทั้งอำเภอมาชุมนุมกัน เจ้าอาวาสยังแนะนำพระใหม่ ต่อพระผู้ใหญ่หลายรูป.. ซึ่งพระพี่เลี้ยงที่บวชก่อนเขาได้ไม่กี่เดือนนั้น ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ.. เพราะเหมือนเป็นการข้ามหน้าข้ามตาท่าน..
หลังจากนั้นพระพี่เลี้ยงก็จับกลุ่ม หาเรื่องพระใหม่รูปนั้น.. ด้วยวิธีการต่างๆนานา หลายครั้ง.. จนพระใหม่รูปนั้นถูกเจ้าอาวาสตำหนิ.. สุดท้ายพระใหม่ต้องลี้ภัยกลางพรรษาซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงเปิดช่องอนุญาตกรณีดังกล่าวไว้.. จึงได้หนีไปขออาศัยวัดของพระมหาเถระที่รู้จักกันต่างจังหวัด
ระหว่างที่พระใหม่ไม่อยู่นั้น ได้มีการสร้างข่าวลือว่าเขาทำผิดแล้วหนีไปบ้าง.. เขาสมคบคิดกับพระอีกรูปหนึ่งซึ่งพบว่าเป็นมิจฉาชีพปลอมตัวมาบวช แอบลักทรัพย์พระเพื่อนแล้วหนีไปบ้าง.. สารพัด.. ซึ่งระหว่างนั้นพระใหม่ไม่รู้เรื่องเลย.. เขาได้รับบาดเจ็บจากการตกเขาที่วัดถ้ำ และแผลติดเชื้อ จนต้องออกจากวัดของพระมหาเถระไปทำการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระใหม่รูปนั้น.. แล้วยังออกมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านรวม 1 สัปดาห์.. จนหายดีในที่สุด..
ในวันสุดท้าย ซึ่งครบกำหนด 7 ราตรีตามกฏ.. พระใหม่ได้หวนกลับมาวัดถ้ำแห่งนั้น.. เพื่อร่วมทำปาฏิโมกข์ในถ้ำครั้งสุดท้าย.. วันนั้นพระทั้งวัดในถ้ำ ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก.. ทั้งพระเพื่อนและพระพี่เลี้ยงรูปนั้น.. แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร.. จนเมื่อจบพิธีกรรม.. พระเพื่อนต่างเข้ามาพูดคุยถึงข่าวลือให้ร้ายต่างๆเมื่อตอนที่พระใหม่ไม่อยู่.. ท่านได้ตอบไขความกระจ่างจนหมดสิ้น.. ซึ่งทุกคนต่างเข้าใจท่านดี.. มีเพียงพระพี่เลี้ยงรูปนั้น ที่เดินหนีไปแอบนั่งอยู่ในห้องทำงานลำพัง..
หลังจากนั้น พระใหม่ได้เข้าไปขอกราบลาสิกขาต่อเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็น่าจะรู้สึกผิดต่อพระใหม่รูปนั้นอยู่บ้าง.. ท่านจึงมอบผ้าไตรให้พระใหม่ ซึ่งกลายเป็นฆราวาสแล้วนั้นเก็บรักษาไว้.. นัยว่า.. ให้กลับมาบวชที่วัดถ้ำแห่งนี้อีก.. แต่.. เขาได้ตัดสินใจหนักแน่นแล้วว่า.. น่าจะเป็นการจากลาครั้งสุดท้าย.. คงไม่มีวันนั้นอีก..
หลายปีต่อมา.. ชายผู้นั้นได้พบเจอพระอาจารย์ที่วัดถ้ำโดยบังเอิญ ท่านมาศาสนกิจที่วัดใหญ่แห่งหนึ่ง.. ทันทีที่เห็น เขารีบเข้าไปก้มลงกราบพระอาจารย์.. ซึ่งพระอาจารย์ได้พูดกับเขาคำแรกว่า.. "ไม่มาเลยนะ วัดถ้ำ...." เขาก็ได้เพียงแบ่งรับแบ่งสู้.. พระอาจารย์ยังกล่าวต่อว่า.. "พระพี่เลี้ยงรูปนั้นไปแล้ว.. แรกๆก็ดูดีหรอก ช่วยพัฒนาวัด ทำประตูวัด ทาสี.. แต่สุดท้าย.. ไปยุยงชาวบ้านที่วัดสาขา แล้วฮุบเอาวัดสาขาไปเป็นของตัวเองไปแล้ว.. ตั้งตนเป็นเจ้าอาวาส.. หลวงพ่อปวดหัวเลย".. ชายผู้นั้นได้แต่เพียงตอบว่า "ครับ ผมอ่านออกแต่แรกแล้ว ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าผมต้องเจออะไรมาบ้าง".. พระอาจารย์ยังถามอีกว่า.. "แล้วเมื่อไรจะไปเยี่ยมวัดถ้ำบ้างล่ะ".. เขาตอบพระอาจารย์ไปว่า.. "ก็ คงจะมีสักวันนึงในอนาคตครับ".. แต่เขาก็รู้ตัวเองดีว่า.. คำตอบนั้นมันคืออะไร..
เพราะสุดท้ายแล้ว.. เขาได้เอาผ้าไตรผืนนั้น ไปมอบให้เจ้าหน้าที่วัดใหญ่แห่งนึง.. เก็บรักษาไว้ให้กับผู้มีบุญที่จะมาบวช ได้ใช้ประโยชน์ต่อไป..
ท่ามกลางวัฏฏะสงสาร.. เราทั้งหลายเป็นเพียงฝุ่นละออง ธุลีในอากาศ.. เมื่อพบเจอกันแล้ว หมั่นทำดีต่อกันไว้ให้มาก.. เพราะเราอาจไม่ได้พบกันบ่อยนัก.. หากทำผิดต่อกันแล้ว.. เราอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลย.. เหมือนฝุ่นผงธุลีที่พัดกระจายไปต่างทิศทาง.. ยาวนานแค่ไหนที่มันจะถูกลมพัดมาเจอกันอีก..
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา.. ประชุมหมู่บ้าน เพื่อคัดเลือกกรรมการหมู่บ้าน ผมไปร่วมประชุมครั้งที่ 2 ในรอบ 19 ปี (โดดตลอด).. เดินไปก็สัมมาอะระหังไป (เป็นระบบ Auto ของผม คือ ตอนเดินกับตอนขับรถจะสัมมาอะระหังเลย).. ก่อนไปภรรยาก็โทรมาเข็นให้ไปร่วมประชุม อยากให้ผมเป็นกรรมการ(มั๊ง).. ผมก็เดินไปคิดในใจไป.. พอไปถึง คนมาตรึมแล้ว.. ก็มีพี่บ้านเยื้องๆกันเดินมาให้ผมเซ็นชื่อ แล้วก็ถามผมว่า "พี่จะเป็นกรรมการด้วยไหมคะ".. ผมก็ตอบง่ายๆเลยว่า.. "ได้ครับ".. ด้วยความคิดว่า อยากเอาระบบ IT ไปพัฒนางานหมู่บ้าน.. แต่พอประชุมไปสักพัก.. สามีของประธานหมู่บ้านเดินมาประกบผมและคุยกับผม.. ว่ามีลูกบ้านติดหนี้ค่าส่วนกลางหมู่บ้าน แล้วชิ่งขายบ้านหนี.. กำลังจะฟ้องร้องดำเนินคดี.. สักพักพอผมเห็นว่าวาระการประชุมหลักๆครบหมดแล้ว.. ผมก็ชิ่งมาถวายเพลพระวัดคลองครุ แล้วผมก็ครุ่นคิดทั้งวัน..
..
พระเตมีย์เป็นเชื้อกษัตริย์แท้ๆ.. ยังแสร้งง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่พูดไม่จา.. เพียงต้องการหนีจากการเป็นพระราชาองค์ต่อไป.. เพราะไม่อยากตัดสินชีวิตคน.. ไม่อยากสั่งลงทัณฑ์ทรมานคน.. ยอมสละแม้ราชสมบัติมหาศาล.. แล้วเราเป็นใครวะ.. เสร่อจะไปเป็นกรรมการ.. มุมนึงอยากเอา IT ไปพัฒนาหมู่บ้าน.. แต่อีกมุมนึงเล่า?.. ต้องไปเป็นโจทย์ยื่นฟ้องอดีตลูกบ้านต่อศาล.. ต้องแบกบาปไปเป็นคู่กรณี คู่กรรมคู่เวรกับใครก็ไม่รู้ ซึ่งไม่รู้จักมาก่อน.. เราจะเป็นไปทำไม.. คนโง่เท่านั้นที่ชอบสวมหัวโขนที่สายปกครองอุปโลกมาให้.. ถ้าเราชอบชีวิตแบบนั้นจริงๆ คงไม่ลาออกมาจากออฟฟิศ ป่านนี้น่าจะเป็น Managing Director ไปแล้ว.. เราจะย้อนกลับไปสู่ความเสื่อม หลุมพรางของสายปกครองทำไมวะ.. คนเราที่มันวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เพราะมันทำเรื่อง ทำงานของสายปกครองทั้งนั้น..
..
คิดได้ดังนั้นแล้ว.. ผมจึงยื่นหนังสือลาออกทาง Line กลุ่มหมู่บ้าน.. ขอให้แต่งตั้งคนอื่นขึ้นแทน..
..
สรุป.. ทุกความสำเร็จล้วนดูดี หอมหวาน.. แต่มันอาจเป็นทุกขลาภ นำพาเรื่องร้อนใจมาในภายหลัง.. สุดท้าย ถ้าคิดจะสำเร็จ จงสำเร็จโดยธรรม.. ดีที่สุด..
เรื่องเล่าในวันพระอาทิตย์ทรงกลด เมื่อวานระหว่างที่ผมสวดมนต์พร้อมเดินเวียนขวารอบพระพุทธธรรมกายเทพมงคล ขณะกำลังเลี้ยวขวาจากด้านหลังพระสู่ด้านข้าง.. มีมอเตอร์ไซด์ฮอนด้าคิวบิกสีดำเหลืองคันหนึ่งขับมาพอดี.. พ่นควันเหม็น.. คนขับเป็นผู้หญิงทรงทอม (อาจไม่ใช่ก็ได้).. ผมนึกในใจว่า..
(ท่านจงมาพิสูจน์เถิด, พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง, รู้เห็นได้ด้วยตนเอง) คำๆนี้เกิดขึ้นที่นี่ก่อน.. คือหลวงปู่ท่านกล่าวคำ เอหิปัสสิโก ในบทสวดมนต์สรรเสริญคุณพระธรรมที่นี่ก่อน.. คือวัดปากน้ำภาษีเจริญ.. ก่อนที่คำๆนี้จะถูกกล่าวขานในวัดที่พระลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านไปสร้างยังที่ต่างๆอีกหลายแห่ง.. และมีการกล่าวคำๆนี้ ณ วัดต่างๆเหล่านั้นอีกมากมาย..
วันนี้พอดีไปธุระที่ออมสินแถวที่ทำงานเก่า.. ถนนโล่ง จึงขับรถเลยไปทำบุญที่วัดปากน้ำ.. แรกเลยก็คิดว่าอาจมีการปิดกั้น.. เตรียมใจไว้แล้ว.. เข้าถึงได้เท่าไรก็เท่านั้นละกัน.. ปรากฏว่า.. ประทับใจมากครับ.. นี่พระท่านไม่ให้ราคาโควิดกิ๊กก๊อกเลย.. คือ ตื่นรู้.. มีสติประกอบปัญญา ว่ามันเป็นยังไงต้องป้องกันอย่างไร.. แต่ไม่ตื่นตูม.. วัดของมหาปูชนียาจารย์ท่านไม่สะทกสะท้านต่อโควิดเลย.. เพียงคงมาตรการคัดกรองเข้มข้นตาม Step ของ ศบค. ก็สามารถเปิดวัดตามปกติเพื่อเป็นเนื้อนาบุญแด่หมู่สัตว์ผู้ยากอย่างผมแล้ว.. เข้าทำบุญได้ทุกโซน สักการะได้ตามปกติ.. ผมอยากทำบุญกับวัดในสายบุญหลวงปู่อย่างยิ่งยวด.. ยอดเยี่ยมครับ ต้องอย่างนี้สิ.. ทำการใหญ่ (รื้อสัตว์ขนสัตว์ไปพระนิพพาน) ใจต้องใหญ่ตามแบบมหาปูชนียาจารย์นะครับ..
บูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นหนึ่งในมงคลชีวิต การปฏิบัติบูชา คือการบูชาอย่างสูงสุด ก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างไร เราทำอย่างนั้น เอาไปปรับใช้ในชีวิตนะครับ ตื่นรู้ แต่ไม่ตื่นตูม.. อย่าให้โควิดมันกลบชีวิตและลมหายใจในการสร้างบารมีครับ ถ้ามีกรรมต้องชดใช้ อยู่บ้าน ก็มีสิทธิ์ติดโควิดได้ครับ
วันหนึ่งขณะนั่งคิดชื่อเว็บไซต์ใหม่อยู่ที่ศูนย์อาหาร Food Island ของห้าง Fashion Island โดยต้องการให้เว็บใหม่นี้ มีอักษรย่อชื่อตนเองและภรรยา ซึ่งบังเอิญใช้อักษรตัวเดียวกันคือ K และอยากให้สื่อถึงชื่อมหาวิทยาลัยที่จบการศึกษามาคือ KU รวมทั้งต้องการที่จะบอกว่าเว็บนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนอาจกำลังหาอยู่ ก็ไปได้คำสั้นๆง่ายๆที่คนกันเองใช้พูดคุยกันคือคำว่า "มีว่ะ" จึงใช้อักษร mewa ตามเข้าไป กลายเป็น Kumewa ซึ่งสามารถใช้เป็นสแลงตอบเวลาคนกันเองถามว่าเรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ไหม ว่า "กูมีว่ะ"..
มากกว่านั้น Kumewa ยังบอกเป็นนัยซ่อนเร้นว่าเด็ก KU ทั้งศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน สามารถมาจอยกันในนี้ได้.. เพราะครูบาอาจารย์เราคือหลวงพ่อก็ KU เช่นกัน โดยเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับผม.. รวมทั้งเด็ก KKU ซึ่งเป็นสถาบันเก่าของภรรยาเจ้าของเว็บไซต์ ก็สามารถมาแจมกันได้ด้วย.. เหนือกว่านั้นคือ Kumewa ยังใช้เป็นสแลงบอกกับเราอีกว่า.. "ครูมีว่ะ" นั่นคือ "เพื่อนครู" ซึ่งเป็นอาชีพเดียวกับภรรยาเจ้าของเว็บไซต์
แท้จริงแล้ว Kumewa อ่านว่า "คุ-เมะ-วะ" เป็นภาษาสวาฮิลี (Swahili) แปลว่า "กิน" ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่าคำนี้มาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิด เพราะศัพท์ 1 ตัวอาจใช้ในหลายประเทศในความหมายที่แตกต่างกันก็ได้ ซึ่งทางทีมงานก็ตรวจสอบพบว่า Kumewa ในภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า "คุ-เมะ-วะ" โดยเขียนว่า くめわ ซึ่งไม่พบความหมายตรงตัว แต่หากแยกคำจะพบว่า く "คุ" แปลว่า "เก้า" ส่วน め "เมะ" แปลว่า "ดวงตา" และ わ "วะ" แปลว่า "วงกลม".. เมื่อนำมาผสมกันนั้น.. เก้า+ดวงตา+วงกลม.. ในทางธรรมนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นดวง (วงกลม) ผุดซ้อนละเอียดที่ศูนย์กลางกาย.. ดวงตาที่เห็นธรรมะทั้ง 9 ย่อมเหนือมนุษย์ปกติธรรมดา ย่อมมองเห็นสิ่งที่เหนือโลก ก็คือ โลกุตระ.. ดังนั้นจึงขอแปล Kumewa ซึ่งเป็นชื่อเว็บไซต์นี้ในแบบที่ชอบว่า "โลกุตระธรรม 9 ประการ" ซึ่งหมายถึง สภาวะธรรมในระดับพ้นโลก (เหนือโลกิยะ) คือ อริยมรรค 4 อริยผล 4 นิพพาน 1 โดยมีรายละเอียดดังนี้.. มรรค 4 คือ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค, ผล 4 คือ โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล, และ นิพพาน 1
เพราะเสียอะไรก็เสียได้.. ใครจะเอาอะไรก็เอาไป.. แต่ธรรมะของคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ที่พร่ำสอนศิษย์เท่านั้น.. ที่ควรค่าแก่การรักษาไว้อย่างสำคัญสูงสุด..